ผู้ส่งออกวอนรัฐบาลจริงจังและเร่งแก้ไขปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบัง

หมวดหมู่: TRADE & TRAVEL

ผู้ส่งออกวอนรัฐบาลจริงจังและเร่งแก้ไขปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบัง

ก่อนหัวลากดีเดย์ 1 ก.ค. 2568 ขึ้นค่าขนส่งอีกเที่ยวละ 3,000-5,000 บาท

 

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุ ความพยายามแก้ไขปัญหาความแออัดในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในทางตรงกันข้ามสถานการณ์ความแออัดในบางช่วงเวลากลับรุนแรงขึ้น โดยสมาชิกของสภารายงานให้ทราบว่า ในบางช่วงเวลารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ใช้เวลาในท่าเรือแหลมฉบังต่อเที่ยวสูงสุดถึง 20 ชั่วโมง ส่งผลให้ล่าสุดสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยทำหนังสือแจ้งให้ทราบว่าจะมีการเรียกเก็บ

 

“ค่าจอดรถรอคอยกรณีรถติดในท่าเรือแหลมฉบัง เพิ่มจากค่าขนส่งปกติอีกเที่ยวละ 3,000-5,000 บาท กรณีจอดรอคอยเกินกว่า 3 ชั่วโมง/ครั้ง/เที่ยว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป” ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปริมาณตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าหนักและตู้คอนเทนเนอร์เปล่าซึ่งขนถ่ายผ่านท่าเรือแหลมฉบังในปี 2567 ที่ผ่านมา จำนวน 9,554,673 ทีอียู อาจก่อให้เกิดภาระต้นทุนเพิ่มเติมแก่ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าระหว่าง 12,000-20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ใหญ่เกินกว่ารัฐบาลจะเพิกเฉยปล่อยให้ภาคเอกชนรับผิดชอบกันเอง เนื่องจากไม่เพียงแต่จะทำให้สินค้าส่งออกของไทยแข่งขันด้านราคาได้ยากยิ่งขึ้น แต่จะส่งผลให้ประชาชนไทยในฐานะผู้บริโภคย่อมต้องรับภาระค่าขนส่งผ่านราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นจากต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่เกิดจากปัญหามลพิษฝุ่นควัน (PM 2.5) จากการปล่อยของเสียรถบรรทุกที่จอดคอยในท่าเรือเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สรท. ได้นำเสนอสาเหตุของปัญหาทั้งระบบครอบคลุมข้อจำกัดทุกด้าน อาทิ ข้อจำกัดของผู้ส่งออก-นำเข้า ข้อจำกัดของการขนส่งด้วยเรือชายฝั่ง ข้อจำกัดของการขนส่งทางราง ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบการจราจรในท่าเรือ และข้อจำกัดด้านความแออัดของท่าเทียบเรือสัมปทาน ตลอดจนได้จัดทำข้อเสนอที่ครอบคลุมทุกมิติ ประกอบด้วย ด้านการขับเคลื่อนระดับนโยบาย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ และด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง และได้นำเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและผลักดันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาความแออัดในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ตลอดจนได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานมาโดยตลอด โดยมีสรุปข้อเสนอที่สำคัญดังนี้ 1) ด้านการขับเคลื่อนระดับนโยบาย อาทิ 1.1) จัดตั้ง คณะกรรมการระดับนโยบายเพื่อสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1.2) เร่งจัดทำ “Master Plan” และ จัดสรรงบเร่งด่วน” 1.3) จัดตั้ง คณะทำงานร่วมระดับปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 1.4) “ปรับปรุงอัตราค่าภาระท่าเรือเพื่อลดต้นทุนผู้ใช้บริการท่าเรือ

 

2) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 2.1) เร่งพัฒนา ลานวางตู้กลางและ “Service / Rest Area” ทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ 2.2) “เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางและทางน้ำเข้าออกท่าเรือ” 2.3) “ปรับปรุงวิศวกรรมการจราจรภายในท่าเรือ” 2.4) “ขุดลอกร่องน้ำทางเดินเรือ และแอ่งจอดเรือและ 2.5) “เพิ่มการลงทุนในเครื่องมือยกขนตู้สินค้า” 3) ด้านกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิ 3.1) เร่งรัดการใช้ ระบบ Truck Queue 100%ให้รถทุกคันต้องจองคิวก่อนเข้าท่าเรือ และ 3.2) เร่งรัดพัฒนา ระบบ Port Community System (PCS)” เชื่อมโยงข้อมูลกับทุกระบบการทำงานแบบ Real Time

 

4) ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ อาทิ 4.1) ขอให้ ด่านศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจปล่อยสินค้า ปฏิบัติงานตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมงและ 4.2) ขอให้ ปรับปรุงสัญญาสัมปทานท่าเทียบเรือและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องอาทิ กำหนด Service Level Agreement ด้าน Inland Transport” เป็นต้น.

 

อนึ่ง การแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน รัฐบาล และการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำเป็นต้องจัดหาพื้นที่ในเขตท่าเรือแหลมฉบังให้ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์สามารถเช่าใช้กองเก็บตู้คอนเทนเนอร์ได้อย่างเพียงพอและในอัตราค่าเช่าที่ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้ เพื่อลดปัญหาความแออัดในท่าเทียบเรือในทันที พร้อมทั้งเร่งดำเนินมาตรการทั้งระยะสั้น กลาง ยาว ตามข้อเสนอแต่ละด้านอย่างจริงจังต่อไป.

12 มิถุนายน 2568

ผู้ชม 60 ครั้ง

Engine by shopup.com