Building Space Supply Sharing: โมเดลการใช้พื้นที่อาคารร่วมกันสำหรับธุรกิจโรงแรมในจีน

หมวดหมู่: COLUMNIST

Building Space Supply Sharing: โมเดลการใช้พื้นที่อาคารร่วมกันสำหรับธุรกิจโรงแรมในจีน

ดร.บุญทรัพย์ พานิชการ คณะโลจิสติกส์และดิจิทัลซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยนเรศวร

 

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนเผชิญกับความท้าทายด้านการจัดการทรัพยากรเมือง โดยเฉพาะพื้นที่ก่อสร้างในทำเลทองของเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และคุนหมิง ราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้โมเดลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด การลงทุนแบบเดิมที่โรงแรมหนึ่งแห่งครอบครองพื้นที่ทั้งอาคารเริ่มไม่ตอบโจทย์ทั้งด้าน ต้นทุน และ ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ

หนึ่งในโมเดลที่น่าสนใจคือ Building Space Supply Sharing หรือการใช้พื้นที่อาคารร่วมกัน โดยที่ผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาเช่าหรือซื้อพื้นที่ภายในอาคารเดียวกันเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกัน รูปแบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ทรัพยากรร่วม ลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากลูกค้าหลากหลายกลุ่ม

ในเดือนกันยายน 2568 ผมมีโอกาสเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน อาคารสูงกว่า 30 ชั้นที่รวบรวมโรงแรมหลายแบรนด์ไว้ในที่เดียวกัน ทำให้ได้เห็น “การใช้พื้นที่ร่วม” อย่างเป็นระบบและน่าสนใจในมิติการลงทุน

อาคารโรงแรมที่คุนหมิงมีการจัดสรรพื้นที่ดังนี้

ชั้นล่าง: พื้นที่ส่วนกลางสำหรับเคาน์เตอร์ต้อนรับของแต่ละโรงแรม ทำให้ลูกค้าสามารถเช็กอินและสอบถามข้อมูลได้สะดวก

ชั้นล็อบบี้เฉพาะ: แต่ละโรงแรมมีล็อบบี้ของตนเองที่ตกแต่งและให้บริการตามเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น แบรนด์ระดับพรีเมียมจะเน้นหรูหรา ขณะที่แบรนด์บูติกจะเน้นความอบอุ่นและเป็นกันเอง

ชั้นห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวก: แต่ละโรงแรมรับผิดชอบการบริหารจัดการในชั้นของตนเอง ซึ่งรวมถึงห้องพัก ฟิตเนส ห้องประชุม หรือ Business Lounge

พื้นที่ส่วนกลาง: เช่น ระบบลิฟต์หลัก โถงทางเดินบางส่วน และระบบรักษาความปลอดภัย ถูกบริหารจัดการร่วมภายใต้ข้อตกลงกลางระหว่างผู้ประกอบการโรงแรมและเจ้าของอาคาร

การออกแบบเช่นนี้ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายสามารถ “แชร์โครงสร้างหลัก” เช่น ระบบลิฟต์ ระบบสาธารณูปโภค และมาตรการรักษาความปลอดภัย ขณะที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์เฉพาะของแต่ละแบรนด์ไว้ได้

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การออกแบบและการจัดสรรนี้ทำให้ลูกค้า “รู้สึกเหมือนอยู่ในโรงแรมแยกต่างหาก” แม้จะอยู่ในอาคารเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงการจัดการที่มีประสิทธิภาพ

  

มิติทางเศรษฐกิจและการลงทุน

  1. การใช้ทรัพยากรที่ดินอย่างคุ้มค่า

ในเมืองใหญ่ของจีน ที่ดินเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด การสร้างโรงแรมหลายแห่งในย่านเดียวกันจึงแทบเป็นไปไม่ได้ โมเดลนี้จึงเป็น ทางออกของ Urban Land Scarcity ที่ช่วยให้เกิดการใช้พื้นที่แนวตั้ง (Vertical Utilization) แทนที่จะขยายในแนวนอน

  1. การกระจายความเสี่ยงและเพิ่ม ROI

            การที่หลายแบรนด์อยู่ในอาคารเดียวกันทำให้มี ความหลากหลายทางตลาด (Market Diversification) ตัวอย่างเช่น แบรนด์ระดับพรีเมียมตอบโจทย์นักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่แบรนด์ระดับกลางหรือบูติกเหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวภายในประเทศ โมเดลนี้ช่วยสร้างความมั่นคงด้านรายได้และเพิ่มโอกาสในการคืนทุน (ROI) เร็วขึ้น

  1. การลดต้นทุนผ่านการใช้ทรัพยากรร่วม

ต้นทุนการก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงสร้างหลัก (Core Infrastructure) ถูกแชร์ระหว่างผู้ประกอบการหลายราย เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำประปา ระบบอินเทอร์เน็ต และการรักษาความปลอดภัย สามารถใช้ร่วมกันได้ นำไปสู่ Economies of Scale ที่ชัดเจน ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสในการเจรจาสัญญากับผู้ให้บริการภายนอกในอัตราที่แข่งขันได้มากขึ้น

  1. การสร้าง Synergy ระหว่างแบรนด์

การอยู่ในอาคารเดียวกันช่วยให้เกิด Cross-selling และ Collaboration เช่น ลูกค้าโรงแรมระดับกลางสามารถใช้บริการห้องประชุมของโรงแรมระดับพรีเมียมที่อยู่ในอาคารเดียวกันโดยจ่ายเพิ่ม ซึ่งทำให้เกิดรายได้เสริมทั้งสองฝ่าย

  1. การดึงดูดกลุ่มลูกค้าหลากหลาย

โมเดลนี้ช่วยสร้าง “One-stop Destination” สำหรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ เช่น กลุ่มนักธุรกิจระดับสูงเลือกแบรนด์หรู นักท่องเที่ยวครอบครัวเลือกแบรนด์ระดับกลาง กลุ่ม Backpacker หรือ Millennial เลือกโรงแรมราคาประหยัด

 

มิติทางสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภค

  1. ความสะดวกและความหลากหลายในการเลือก

            นักท่องเที่ยวมีทางเลือกหลายระดับราคาและบริการในอาคารเดียว ลดต้นทุนด้านเวลาในการตัดสินใจและการเดินทาง

  1. การสร้าง “Hospitality Hub”

การรวมโรงแรมหลายแบรนด์ไว้ในพื้นที่เดียวกันสามารถสร้างเป็น “ศูนย์กลางบริการการท่องเที่ยว” ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่การรวมบริการเสริม เช่น Co-working Space ร้านค้า หรือพื้นที่สำหรับกิจกรรม MICE (Meetings, Incentives, Conferences, Exhibitions)

  1. การสอดคล้องกับแนวคิด Smart City

โมเดลนี้ตอบสนองต่อเป้าหมายของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดการก่อสร้างที่ซ้ำซ้อน

 

ข้อดีและข้อท้าทายเชิงธุรกิจ

ข้อดี

  • ลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น
  • เพิ่มความยืดหยุ่นทางธุรกิจ ในการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและบริการ
  • สร้างเครือข่ายพันธมิตร ระหว่างแบรนด์โรงแรมในอาคารเดียวกัน
  • เสริมศักยภาพการแข่งขันเชิงทำเล เพราะดึงดูดลูกค้าหลากหลายกลุ่ม

 

ข้อท้าทาย

  • การบริหารความแตกต่างของแบรนด์: ต้องสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจนแม้อยู่ในอาคารเดียวกัน
  • การประสานงานด้านการจัดการอาคาร: ต้องมีระบบกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
  • ความเสี่ยงจากการแข่งขันภายใน: โรงแรมบางแบรนด์อาจได้เปรียบด้านการตลาดมากกว่า
  • การคาดหวังของผู้บริโภค: ลูกค้าอาจสับสนหากประสบการณ์การบริการไม่แตกต่างชัดเจน

 

SWOT Analysis ของโมเดล Building Space Supply Sharing

มิติ

รายละเอียด

Strengths (จุดแข็ง)

 

 

ลดต้นทุนการลงทุน, ใช้ทรัพยากรที่ดินได้มีประสิทธิภาพ, เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค, เสริมศักยภาพการแข่งขันในทำเลทอง

 

Weaknesses (จุดอ่อน)

 

การบริหารจัดการร่วมซับซ้อน, เสี่ยงต่อความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการ, ความแตกต่างของแบรนด์อาจไม่ชัดเจน

Opportunities (โอกาส)

 

การเติบโตของตลาดท่องเที่ยวจีน, การขยายสู่เมืองรอง, การสนับสนุนจากนโยบาย Smart City, ความต้องการของนักท่องเที่ยว MICE และนักธุรกิจ

Threats (ความเสี่ยง)

 

การแข่งขันในอุตสาหกรรมโรงแรมที่รุนแรง, ภาวะเศรษฐกิจผันผวน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ, ความเสี่ยงจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ

 

การเปรียบเทียบกับโมเดลสากล

  • ญี่ปุ่น: อาคารผสมผสาน (Mixed-use Building) ในโตเกียวที่รวมโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และออฟฟิศ สร้างความคุ้มค่าด้วยการดึงดูดคนหลากหลายกลุ่ม
  • สิงคโปร์: โรงแรมและ Serviced Apartments แบ่งพื้นที่ร่วมกัน ใช้ Co-working Space เป็นจุดขายเสริม
  • ดูไบ: Luxury Complex ที่รวมหลายโรงแรมและพื้นที่จัดงานระดับนานาชาติในตึกเดียว เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าหลากหลายระดับรายได้

จีนกำลังนำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ให้เข้ากับ บริบทของการเติบโตเมืองและพฤติกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเน้นการใช้ที่ดินแนวตั้งเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่ในเมืองใหญ่ ขณะที่ประเทศอื่นมักเน้นการสร้างเป็นคอมเพล็กซ์เพื่อเพิ่มความหรูหราและเป็นแลนด์มาร์ก

 

แนวโน้มในอนาคต

การกระจายโมเดลสู่เมืองรอง: เมืองท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต เช่น ต้าเหลียน กุ้ยหยาง หรืออู๋ซี อาจเป็นพื้นที่ทดลองขยายโมเดลนี้ เนื่องจากมีการเติบโตของนักท่องเที่ยวในประเทศที่รวดเร็ว

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation): การใช้ Mobile Check-in, Smart Key Card, และ Big Data Analytics จะช่วยบริหารจัดการลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพบริการ

การพัฒนาเป็นคอมเพล็กซ์ครบวงจร (Hospitality Complex): รวมโรงแรม ร้านค้า Co-working Space และศูนย์ประชุมไว้ในอาคารเดียวกัน เพื่อเพิ่มการใช้พื้นที่ต่อหน่วยสูงสุด

บทบาทของภาครัฐและนโยบายเมืองอัจฉริยะ: หากโมเดลนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

 

โมเดล Building Space Supply Sharing ถือเป็นการพลิกโฉมธุรกิจโรงแรมในจีน ด้วยการผสมผสานแนวคิดการจัดการพื้นที่เมืองกับการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงธุรกิจ จุดแข็งของโมเดลนี้คือการลดต้นทุน เพิ่ม ROI และกระจายความเสี่ยงทางตลาด แต่ก็ยังมีข้อท้าทายด้านการบริหารจัดการร่วมและการแข่งขันภายในที่นักลงทุนต้องจับตา

ในมุมมองการลงทุน โมเดลนี้สามารถสร้าง โอกาสในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อสอดคล้องกับนโยบาย Smart City และการเติบโตของการท่องเที่ยวจีน หากผู้ประกอบการสามารถสร้าง ความแตกต่างของแบรนด์ (Brand Differentiation) และวางกลยุทธ์การบริหารจัดการร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ โมเดลนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็น มาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมโรงแรมในเมืองใหญ่ของจีน และอาจถูกขยายไปยังภูมิภาคอื่นในอนาคต

18 ตุลาคม 2568

ผู้ชม 66 ครั้ง

Engine by shopup.com